วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 11


การกำหนดมาตรฐานคุณภาพของครูในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ครูจะต้องทำกิจกรรม 7 อย่างคือ 1) การวิเคราะห์หลักสูตร 2) การวิเคราะห์ผู้เรียน 3) การจัดกิจกรรมที่หลากหลาย  4) การใช้เทคโนโลยีเป็นแหล่งและสื่อการเรียนรู้ของตนเองและนักเรียน  5) การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงอย่างรอบด้านและเน้นพัฒนาการ 6) การใช้ผลการประเมินเพื่อแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อ พัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ  7) การใช้การวิจัยปฏิบัติการในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ของนักเรียนและ การสอนของตน
      จากประเด็นดังกล่าว นักศึกษาจะนำวิธีดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร เมื่อนักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนโดยเน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ  (ข้อสอบ 20 คะแนน) ยกตัวอย่างออกแบบการจัดการเรียนรู้


การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เรียนรู้ โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สื่อ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และนักเรียนมีโอกาสนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์
ข้าพเจ้ามีวิธีดังต่อไปนี้
 1.วิชาที่สอนตรงตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือแนวการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละกลุ่มสาระนั้น และในมาตรฐานหลักสูตรแกนกลางกำหนดไว้อย่างไร คุณครูต้องนำมาตรฐาน ตัวชี้วัด  และคุณลักษณะอันพึงประสงค์มาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อจัดทำคำอธิบายรายวิชา  โครงสร้างรายวิชา  การออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ 
2. ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้ทราบว่าผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนมากน้อยเพียงใดทั้งนี้เพราะการที่จะใช้สื่อให้ได้ผลดีย่อมจะต้องเลือกสื่อให้มีความสัมพันธ์กับลักษณะผู้เรียนดังนั้นผู้สอนจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียน
3.ผู้สอนจะต้องจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับผู้เรียนและต้องจัดกิจกรรมที่หลากหลาย ให้ในแต่ละกิจกรรมที่ผู้สอนจัดสอดคล้องกับเนื้อหาที่เรียน เพื่อให้ผู้เรียนนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
4.ผู้สอนจะต้องถ่ายทอดสื่อการเรียนการสอนทั้งเรื่องทักษะ ประสบการณ์ ความคิดเห็นและเจตคติไปสู่ผู้เรียนเป็นสำคัญและผู้สอนต้องเข้าใจผู้เรียนว่าต้องการสื่อการเรียนการสอนแบบใดและผู้สอนต้องนำมาประยุกต์กับสื่อการเรียนการสอนของตนเองกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง
5.ผู้สอนต้องวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยจากการวัดผลในเรื่องด้านการคิด อ่าน เขียน ด้านอารมณ์และด้านสติปัญญาของผู้เรียนและจากการร่วมทำกิจกรรมในห้องเรียน
6.ผู้สอนนำผลการประเมินที่ได้มาแก้ไขและหาข้อบกพร่องของผู้เรียนแต่ละคนเพื่อนำไปพัฒนาผู้เรียนต่อไป
7.ผู้สอนได้เห็นการจัดการเรียนการสอนของตนเอง แล้วนำมาวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนที่เกิดขึ้น โดยผู้สอนจะต้องนำเอาข้อผิดพลาดในการสอนมาปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียนต่อไป
ตัวอย่างออกแบบการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่  1

กลุ่มสาระการเรียนรู้  สังคมศึกษา  ศาสนา  และวัฒนธรรม                                ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  1 
หน่วยการเรียนรู้ที่  1  การนับศักราชและการแบ่งช่วงเวลาของประวัติสาสตร์ไทย เวลา  1 ชั่วโมง
สาระที่  4  ประวัติศาสตร์
มาตรฐานที่  ส4.1.1  เข้าใจความหมายความสำคัญของการนับเวลา   การแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์  และเทียบศักราชในระบบต่าง ๆ  เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง


1.  สาระสำคัญ
                ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องราวของสังคมมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปในมิติของเวลา   เพราะกาลเวลาจะบอกเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตผ่านไปนานมากน้อยแค่ไหน  ถ้าไม่นานก็บอกเป็นเดือน  เป็นปี  หรือศักราช  แต่ถ้านานมากก็บอกเป็นช่วงเวลาหรือสมัย  ถ้านาน ๆ  ก็บอกเป็นยุค   ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและสามารถเปรียบเทียบได้

2.  ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
                2.1  รู้และเข้าใจในการเทียบศักราชแบบต่าง ๆ 
                2.2 วิเคราะห์ความสำคัญของการแบ่งช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ไทยได้
                2.3  สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

3.  จุดประสงค์การเรียนรู้
                หลังจากครูสอนเรื่องการนับศักราชและการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยแล้ว  นักเรียนมีความรู้ความสามารถดังต่อไปนี้
                3.1  ระบุความสัมพันธ์  เทียบศักราชแบบต่าง ๆ  และแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยได้
                3.2  ให้ความร่วมมือกับคนในกลุ่ม  ด้วยความเต็มใจ  ไม่เกี่ยงงาน  ไม่ละทิ้งหน้าที่
 ตั้งใจทำงาน
                3.3  รู้จักรักษามรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างและสะสมไว้ด้วยความยากลำบาก  ให้คงทนถาวรตลอดไป 
4.  สาระการเรียนรู้
ด้านความรู้  ความเข้าใจ (K)
                1.  การนับศักราช การเทียบศักราช  และการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย
ด้านทักษะกระบวนการ (P)
2.  การทำงานร่วมกับผู้อื่น  ทักษะในทางสังคมย่อย  การปรับตัวให้อยู่ร่วมกันในสังคม 
โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ  ร่วมกัน  เช่น  การทำงาน  การเล่น การเรียน  และการพยายามแก้ปัญหาร่วมกันอย่ามีเหตูผลและถูกวิธี
                ด้านเจตคติ  ค่านิยม  คุณธรรม  (A)
                3.  ความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ  สำนึกในคุณต่อผู้ทำประโยชน์และเสียสละชีพเพื่อชาติ  พึงระลึกไว้เสมอว่าทุกคนมีส่วนเป็นเจ้าของประเทศ  ไม่ควรเพิกเฉยนิ่งดูดาย  ต่อการทำประโยชน์ให้กับประเทศ  บ้านเกิดเมืองนอนของตน  แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

5.  กระบวนการจัดการเรียนรู้
                ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
                5.1  ครูพูดคุยทักทายกับนักเรียน  เช็คชื่อว่าใครมาเรียน  ลาเรียน  และขาดเรียนบ้าง
                5.2  ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยการถามว่า
นักเรียนคะ  ปีนี้  พ.ศ. 2550  ตรงกับคริสต์ศักราชที่เท่าไรคะ”  เมื่อนักเรียนตอบได้ก็บอกว่าถูกต้องค่ะ  ที่ครูให้นักเรียนเทียบศักราช  เพราะว่าวันนี้เราจะเรียนเรื่องการนับศักราชและการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยนะคะ
                5.3  ถ้านักเรียนตอบไม่ได้ให้ครูพูดว่า
อ้าว !  ไม่เป็นไรค่ะนักเรียน   ตอนนี้นักเรียนยังตอบครูไม่ได้  แต่ว่าครูเชื่อว่าเมื่อพวกเราเรียนเรื่องการนับศักราชและการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทยจบแล้วนักเรียนจะตอบคำถามครูได้   อ้าว  งั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยนะคะ
                ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้
                5.4  ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษางาน  แบ่งเป็น  5  กลุ่ม   กลุ่มละ  7 - 8   คน แล้วจับฉลากเพื่อแบ่งหัวข้อที่แต่ละกลุ่มจะได้ศึกษา  ซึ่งมี  5  หัวข้อ ดังนี้
                                1. การนับศักราช
                           2.  การเทียบศักราช
                                3.  การแบ่งช่วงเวลาแบบสากล
                                4.  การแบ่งช่วงเวลาแบบไทย
                                5.   ความภาคภูมิใจและวิธีการรักษามรดกที่บรรพบุราได้สร้างสมไว้

                5.5  ครูแจกใบความรู้ให้กับนักเรียนทุกคนในกลุ่ม
 
                5.6  นักเรียนพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ภายในกลุ่มของตนเอง  และสรุปเป็นองค์ความรู้ของแต่ละกลุ่ม  ( ครูแจกกระดาษฟูลสแค๊ปและปากกาเคมี )
                5.7  ตัวแทนแต่ละกลุ่ม  ออกไปอภิปรายหน้าชั้น  เกี่ยวกับสิ่งที่กลุ่มของตนได้สรุปเป็นองค์ความรู้  
                ขั้นสรุป
               
5.8  ครูเพิ่มเติมเนื้อหาให้สมบูรณ์  โดยสรุปเนื้อหาที่เรียนในชั่วโมงนั้น 
                5.9  ครูแจกใบงานให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน  พร้อมทั้งกำหนดสถานที่และวันส่งให้ชัดเจน 
               
6.  วัสดุ   อุปกรณ์   สื่อ  /   แหล่งเรียนรู้
                6.1  หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน  กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา  ศาสนา   และวัฒนธรรม   ประวัติศาสตร์ ม.1  ตามหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช  2544
                6.2  ใบความรู้ที่ครูทำขึ้น
                6.3  ห้องสมุด
                6.4  อินเตอร์เน็ต (
www.aksorn.com/Lib/S/Soc_04)
                6.5  ปากกาเคมี
                6.6  กระดาษฟูลสแค๊ป
                6.7  ฉลาก  5  ใบ  ( ที่ใช้เป็นหัวข้อในการศึกษางานกลุ่ม )
7.  การวัดผลประเมินผล
                7.1  สิ่งที่ต้องการวัด/วิธีวัด
                                7.1.1  ความรู้ความเข้าใจของการเทียบศักราชแบบต่าง ๆ  จากการทำแบบฝึกหัด
                                7.1.2 ทักษะกระบวนการทำงานกลุ่ม  จากสถานการณ์จริงที่นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษาใบงาน  จนกระทั่งได้เป็นองค์ความรู้ออกไปนำเสนอหน้าชั้นเรียน
                                7.1.3  ความภาคภูมิใจ และรู้จักวิธีรักษามรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างสมไว้  จากแบบฝึกหัดข้อที่  5 
                7.2  เครื่องมือ
                                7.2.1  แบบฝึกหัด
                                7.2.2  แบบสังเกตพฤติกรรม
7.3  เกณฑ์การประเมินผล
                                7.3.1  แบบฝึกหัดมี  5  ข้อ  ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ 
                                           ข้อ  1และ2  ข้อละ  5  คะแนน,  ข้อ  3   1  คะแนน,  ข้อ  4 และ5 
ข้อละ  2  คะแนน
                               
           ข้อ  1  และ  2  ตอบถูกได้  1  คะแนน  ตอบผิดได้  0
                                            ข้อ  3  ตอบถูกได้  1  คะแนน  ตอบผิดได้  0
                                            ข้อ  4  ตอบถูกได้  2  คะแนน  ตอบผิดได้  1  คะแนน
                                           ข้อ  5  ขอเพียงให้ตอบตามความเข้าใจได้  2  คะแนน
                                                รวมทั้งหมด  15  คะแนน  ผ่านเกณฑ์อย่างน้อยร้อยละ  70  คือต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า  10.5
                                7.3.2  พฤติกรรมผ่านเกณฑ์อย่างน้อยร้อยละ  70
                                           รวมคะแนนพฤติกรรม  20  คะแนน  คือต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า  14  จึงจะผ่าน
8.  ข้อเสนอแนะ
                ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (ซึ่งการเรียนการสอนครั้งนี้คือการทำงานกลุ่ม)     เป็นหัวใจสำคัญของวิชาสังคมศึกษา  นั่นคือ  การนำความรู้ที่ได้มาปฏิบัติจริง  วิชาสังคมศึกษาแตกต่างไปจากวิชาอื่น  เช่น  ภาษาไทย  คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  ที่ว่าเมื่อเรียนไปแล้วครูจะสามารถวัดประเมินความเข้าใจได้ทันที  ทักษะในวิชาสังคมศึกษาการวัดผลประเมินผลต้องอาศัยเวลา  อาศัยการสังเกต  และมาตรฐานของสังคมในการตัดสิน  ครูไม่สามารถให้คะแนนอย่างชัดเจนในชั่วโมงเรียนได้
9.  ความคิดเห็นของผู้บริหาร
………………………………………………………………………………………
                                                                ลงชื่อ..................................................................
                                                                        (...........................................................)
                                                                                       ผู้บริหารสถานศึกษา


10.  บันทึกผลหลังการสอน
 10.1   ความรู้  ความเข้าใจ  (K)
………………………………………………………………………
 10.2  ทักษะกระบวนการ  (
P)
  ……………………………………………………………………
 10.3  เจตคติ  คุณธรรมจริยธรรม  ความสุขสนุกสนานเพลิดเพลิน  (A)
………………………………………………………………………
                                                 ลงชื่อ......................................................
                                                          (...........................................................)
                                                                                   ผู้สอน

ใบงาน

เรื่อง การนับศักราชและการแบ่งช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ไทย


คำชี้แจง  ให้นักเรียนตอบคำถามให้สมบูรณ์
1.ปีที่กำหนดให้ต่อไปนี้ ตรงกับพุทธศักราชที่เท่าใด
ม.ศ. 1023    =    พ.ศ. ..........................
            ค.ศ. 200       =   พ.ศ. .............................
            ฮ.ศ.107    =    พ.ศ. ...............................
            จ.ศ. 712   =    พ.ศ. ...............................

2.  ปีพุทธศักราชที่กำหนดให้ตรงกับศักราชใด 
             พ.ศ.2546     =  ม.ศ. ...........................
             พ.ศ.2529     =  ค.ศ.  …………………   
             พ.ศ.2499     =  ฮ.ศ. .............................
             พ.ศ.  2550   =  ร.ศ. .........................         

3.   “มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ เก็บอาหาร  อาศัยอยู่ในถ้ำ ใช้เครื่องมือหินที่ทำแบบหยาบ ๆ  รู้จักเขียนภาพตามผนังถ้ำ      ลักษณะการดำเนินชีวิตดังกล่าวอยู่ในยุคใด

4. สำริด         
  หมายถึง…………………………………………………………………………

5.   เมื่อนักเรียนอ่านเนื้อเพลงแล้วรู้สึกอย่างไร
 หากสยามยังอยู่    ยั้งยืนยง                              ...........................................................................................
 ไทยก็เหมือนอยู่คง  ชีพด้วย                             .........................................................................................
 หากสยามพินาศลง  ไทยอยู่  ได้ฤา                  .........................................................................................

http://www.kruaung.com/index.php?mo=3&art=275612

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 9


ให้นักศึกษา ดูทีวีในแหล่งความรู้โทรทัศน์สำหรับเลือกดูคนละหนึ่งเรื่อง การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียน  ให้สรุปเป็นประเด็นสำคัญ ที่นักศึกษาเห็นว่าสำหรับการจัดการเรียนการสอน และหากนักศึกษาไปฝึกสอนในสถานศึกษาที่ได้ดูจากทีวี  นักศึกษาจะเตรียมตัวออกสังเกตการสอนว่า  อาชีพครูจะต้องมีคุณสมบัติที่ดีอย่างไร และจะทำให้เกิดกับตัวนักศึกษาได้อย่างไร  เขียนอธิบายขยายความลงในบล็อกของนักศึกษาในกิจกรรมที่ 9 (โทรทัศน์สำหรับครูอยู่ในแหล่งเรียนรู้สำหรับนักศึกษาครู เลือกพยายามอย่าให้ซ้ำกัน หรือซ้ำกันแต่ให้มุมมองที่แตกต่างกัน)

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้จากการเรียนรู้เรื่องกิจกรรมเยี่ยมชมห้องเรียนลูกรัก 2

 การสอนเป็นหัวใจหนึ่งที่ผู้สอนต้องถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้เรียนให้เต็มศักยภาพและห้องเรียนต้องเอื้อต่อการสอนและมีวิธีการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจต่อสิ่งที่ได้รับเต็มอย่างประสิทธิ์ภาพ ดังเหมือนห้องเรียนลูกรัก 2 ผู้เรียนเกิดความสนใจและกล้าแสดงออกโดยไม่เกิดความเขินอายต่อการออกมานอกชั้นเรียน ผู้เรียนต้องได้รับความรู้จากผู้สอน  ผู้สอนต้องศึกษาสภาพแวดล้อมของผู้เรียน และภาพโดยรวมของโรงเรียนและท่าทางการสนใจของผู้เรียนที่มีต่อวิชาที่สอนปฏิกิริยาการถามตอบของผู้เรียนและการกล้าแสดงออก หรือการมีส่วนรวมในการเรียนการสอน

อาชีพครูจะต้องมีคุณสมบัติที่ดีดังต่อไปนี้

1.   มีความรู้ในวิชาที่สอนดี  ผู้สอนต้องสอนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ประสบการณ์  อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นในตัวผู้เรียน

2.   มีความรู้ในวิธีการสอน ผู้สอนที่มีความรู้ดี แต่ไม่สามารถสอนผู้เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจได้นั้น นับเป็นความล้มเหลวในการประกอบอาชีพครู

3.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผู้สอนที่ดีจะต้องพยายามริเริ่มวิธีการใหม่ขึ้น เพื่อจะได้ให้การศึกษาแก่ ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.  มีความสนใจต่องานอาชีพ มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีศรัทธาต่องานที่สอน

5.  ผู้สอนมีความสามารถในการปรับบทเรียนให้เข้ากับตัวผู้เรียน

6.  ผู้สอนเข้าใจผู้เรียนตามสภาพเป็นจริงของเขา

7.  มีสัมพันธภาพอันดีกับผู้เรียน หน้าที่ของผู้สอนไม่ใช่เพียงแต่สอนเท่านั้นยังจะต้องอบรมกล่อมเกลานิสัยใจคอ ความประพฤติของผู้เรียนด้วย

    ดิฉันคิดว่าการออกสังเกตต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และต้องสังเกตการณ์สอนของพี่เลี้ยงในการสอนในห้อง ภาพโดยรวมของผู้เรียนและความสนใจในการเรียนรู้ การกล้าแสดงออกของผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมภายในภายนอกของผู้เรียน เพราะการที่เราออกสังเกตการณ์ก็เปรียบเสมือนการได้ไปฝึกสอน เราก็ต้องเตรียมพร้อมในทุกๆด้านและนำเอามาประยุกต์ในเข้ากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ได้เต็มที่และมีประสิทธิ์ภาพในการเรียนรู้

http://www.youtube.com/watch?v=tTzF3b99FIA&feature=related

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 8


เรื่อง วัฒนธรรมองค์การ(Organaization Culture)
ให้ นักศึกษา สรุปความหมาย วัฒนธรรมองค์การ
แนวคิดเกี่ยวกับองค์การ
แนวทางพัฒนาองค์การ
กลยุทธ์การสร้างวัฒนธรรมองค์การ
แนวทางการนำวัฒนธรรมองค์การไปใช้
โดยให้นักศึกษาศึกษาค้นคว้าโดยใช้ Internet และเอกสารห้องสมุดให้ตรงกับหัวเรื่องตามที่อาจารย์กำหนดให้มา สรุปเป็นความคิดของนักศึกษาและอ้างอิงแหล่งที่ค้นคว้าด้วย
สรุป วัฒนธรรมองค์การ คือ
วัฒนธรรมองค์การเป็นสิ่งสร้างขึ้นในองค์การ ซึ่งมีทั้งสิ่งที่แสดงออกอย่างชัดแจ้ง สามารถจับต้องได้ และสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในวัฒนธรรมเป็นระบบคุณค่าและความเชื่อร่วมกันของ องค์การซึ่งจะกำหนดพฤติกรรของสมาชิก ทั้งในเรื่องการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมขององค์การและกระบวนการในการทำงานองค์การทุกองค์การจะสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมของตนเองและแสดงถึงวัฒนธรรมผ่าน การทำงาน การประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในองค์การ ตลอดจนผ่านโครงสร้างองค์การ การออกแบบและจัดสำนักงานขององค์การ
แนวคิดเกี่ยวกับองค์การ
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์การ 2 แนวทางหลัก คือ
แนวทางที่ 1 วัฒนธรรม เป็นตัวแปรตัวหนึ่ง
1. วัฒนธรรมองค์การเป็นเพียงตัวแปร ตัวหนึ่งในบรรดาตัวแปรหลายตัวในองค์การ
2. มีความเชื่อพื้นฐานภายใต้ปรัชญา ปฏิฐานนิยม (Positivism) ส่งผลให้
2.1 เน้นวิธีการศึกษาวิจัยเชิง ปริมาณ (quantitative research)
2.2 มองวัฒนธรรมองค์การว่าเป็น พฤติกรรมที่มีตัวตนเป็นรูปธรรมสัมผัสได้วัดได้ จิตใจของมนุษย์ไม่ได้กำหนดมันขึ้นมาเอง
2.3 เน้นระดับการศึกษาวิเคราะห์ (level of analysis) ที่กลุ่ม / องค์การ
3. เนื่องจากเห็นว่าวัฒนธรรม องค์การเป็นสิ่งที่มีตัวตนเป็นรูปธรรม จึงเชื่อว่าวัฒนธรรมองค์การเป็นสิ่งที่ควบคุมหรือจัดการได้
4. ผู้ก่อตั้งและผู้นำเป็นผู้สร้าง หรือกำหนดวัฒนธรรมองค์การ
5. วัฒนธรรมของแต่ละองค์การมี ลักษณะคล้ายคลึงกัน
6. เน้นข้อมูลที่เป็นพฤติกรรมภาย นอกที่รับรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า (หู ตา จมูก ลิ้น และสัมผัส) ซึ่งเป็นวัตถุวิสัย
7. เป้าหมายการศึกษาเพื่อใช้ วัฒนธรรมองค์การเป็นเครื่องมือในการจัดการ
แนวทางที่ 2 องค์การเปรียบเสมือนวัฒนธรรม
1. วัฒนธรรมองค์การครอบคลุมเรื่อง ราวทุกส่วนในองค์การ
2. มีความเชื่อพื้นฐานภายใต้ปรัชญา ปรากฏการณ์นิยม (phenomenology) ส่งผลให้
2.1 เน้นวิธีการศึกษาวิจัยเชิง คุณภาพ (quantitative research)
2.2 มองวัฒนธรรมองค์การว่าเป็นค่า นิยม ความคิด ความเชื่อที่อยู่ภายในจิตใจคน
2.3 เน้นระดับการศึกษาวิเคราะห์ทั่ว บุคคลแต่ละคน (individual) กล่าวคือ สนใจค่านิยม ความเชื่อ ความคิดที่อยู่ภายในจิตใจของแต่ละคน
3. เนื่องจากเห็นว่าวัฒนธรรม องค์การเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจคนไม่มีตัวตนเป็นรูปธรรม จึงเชื่อว่าวัฒนธรรมองค์การเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมหรือจัดการทำได้เพียง พยายามอธิบายหรือตีความหมายของมัน
4. สมาชิกขององค์การทุกคนเป็นผู้ สร้างหรือกำหนดวัฒนธรรมองค์การ
5. วัฒนธรรมของแต่ละองค์การเป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับองค์การอื่นเลย
6. เน้นข้อมูลที่อยู่ภายในความคิด หรือจิตใจของแต่ละคน (ค่านิยม ความเชื่อ ฯลฯ) ซึ่งเป็นอัตวิสัย
7. เป้าหมายการศึกษาเพื่อให้ วัฒนธรรมองค์การเป็นแนวคิดหนึ่งที่ช่วยสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับองค์การมาก ขึ้น
แนวทางพัฒนาองค์การ
แนวความคิดในการพัฒนาองค์การ
1. แบบปิระมิดคว่ำ             2. แบบปิระมิดหงายขึ้น
กระบวนการในการพัฒนาองค์การ
1. การรวบรวมข้อมูล (Data collection)
2. การวินิจฉัยเบื้องต้น (Innitial diagnosis)
3. การพิสูจน์ข้อมูล (Data confrontation)
4. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Action planning)
5. การสร้างทีมงาน (Team building)
6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม (Intergroup development)
7. การประเมินและติดตามผล (Appraisal and follow – up)
รูปแบบในการพัฒนาองค์การ
1. การฝึกการรับรู้ หรือการฝึกกลุ่มสัมพันธ์
2. การประชุมแบบเผชิญหน้า
3. การแสดงบทบาทเป็นการให้สมาชิกได้อธิบายหน้าที่ของตน
4. กระบวนการให้การปรึกษา
5. การปฏิบัติงานในห้องทดสอบ
6. การประสานงานประโยชน์วิเคราะห์
กลยุทธ์การสร้างวัฒนธรรมองค์การ
กลยุทธ์หมายถึงแนวทางหรือสะพานเชื่อมช่องว่างระหว่างสิ่งที่เราเป็นอยู่ไป สู่สิ่งที่เราต้องการจะเป็นการกำหนดกลยุทธ์ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนิยมทำ กันใน 2 ลักษณะคือ
1. การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป จากวัฒนธรรมที่เปลี่ยนได้ง่ายไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยุ่งยาก หรืออาจจะเป็นการสร้างกระแสวัฒนธรรมใหม่กลบกระแสวัฒนธรรมเก่า การเปลี่ยนแปลงจะแทรกซึมอยู่ในทุกกิจกรรม เป็นการสร้างวัฒนธรรมแบบกองโจรเพราะเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อคนในองค์กรน้อย แต่ต้องใช้ระยะเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรที่มีอายุยาวนานและมีวัฒนธรรมดั้งเดิมแข็งแกร่ง
2. การเปลี่ยนแบบผ่าตัด เป็นการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด อาจจะมีการเจ็บปวดบ้างในช่วงแรก แต่ได้ผลดีในระยะยาว เพราะทุกอย่างชัดเจน ทุกคนทราบว่าตัวเองจะอยู่ได้หรือไม่ได้ในวัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ หลายองค์กรนิยมยืมมือบุคคลที่สามเข้ามาทำการผ่าตัด บางองค์กรมักจะผ่าตัดเพื่อกำหนดวัฒนธรรมองค์กรไปพร้อมๆกับการผ่าตัดโครง สร้างองค์กร เปรียบเสมือนกับการที่คุณหมอเปลี่ยนทัศนคติของคนไข้เมื่อคนไข้อยู่ในภาวะ เจ็บป่วย เพราะในช่วงเวลานั้นคนไข้มักจะเชื่อฟังคุณหมอมากกว่าตอนที่ร่างกายเป็นปกติ
แนวทางการนำวัฒนธรรมองค์การไปใช้
วัฒนธรรมองค์การใดจะประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ผู้บริหารระดับสูงจะต้องกระทำตัวเป็นตัวอย่างก่อน ในขณะเดียวกันต้องมีความตั้งใจจริง และมีความผูกพันอย่างจริงจังในการสร้างให้เกิดบรรยากาศของการควบคุมโดยใช้ วัฒนธรรมองค์การ ที่สำคัญควรมีการปรับวัฒนธรรมองค์การตลอดเวลา เพราะการปลูกฝังค่านิยมให้ฝังแน่นอย่างถาวรอาจทำให้วัฒนธรรมนั้นขาดการพัฒนา ปรับปรุงให้เหมาะสมลงตัวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา